วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

การเรียนรู้ทางด้านทักษะปฏิบัติ



                  แฮร์โรว์ (Harrow. 1972: 96-99) ได้จัดลำดับขั้นของการเรียนรู้ทางด้านทักษะปฏิบัติ โดยเริ่มจากระดับที่ซับซ้อนน้อยไปจนถึงระดับที่มีความซับซ้อนมาก  ซึ่งกระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบมีทั้งหมด 5 ขั้น คือ
1. ขั้นการเลียน แบบ  เป็นขั้นที่ให้ผู้เรียนสังเกตการกระทำที่ต้องการให้ผู้เรียนทำได้ซึ่งผู้ เรียนย่อมจะรับรู้หรือสังเกตเห็นรายละเอียดต่าง ๆ ได้ไม่ครบถ้วน  แต่อย่างน้อยผู้เรียนจะสามารถบอกได้ว่า  ขั้นตอนหลักของการกระทำนั้น ๆ มีอะไรบ้าง
2. ขั้นการลงมือกระทำตามคำสั่ง  เมื่อผู้เรียนได้เห็นและสามารถบอกขั้นตอนของการกระทำที่ต้องการเรียนรู้ แล้ว  ให้ผู้เรียนลงมือทำโดยไม่มีแบบอย่างให้เห็น  ผู้เรียนอาจลงมือทำตามคำสั่งของผู้สอน  หรือทำตามคำสั่งที่ผู้สอนเขียนไว้ในคู่มือก็ได้  การลงมือปฏิบัติตามคำสั่งนี้  แม้ผู้เรียนจะยังไม่สามารถทำได้อย่างสมบูรณ์  แต่อย่างน้อยผู้เรียนก็ได้ประสบการณ์ในการลงมือทำ  และค้นพบปัญหาต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้เกิดการเรียนรู้  และการปรับการกระทำให้ถูกต้องสมบูรณ์ขึ้น
3. ขั้น การกระทำอย่างถูกต้องสมบูรณ์ (Precision) ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องฝึกฝนจนสามารถทำสิ่งนั้น ๆ ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์  โดยไม่จำเป็นต้องมีแบบอย่างหรือมีคำสั่งนำทางการกระทำ  การกระทำที่ถูกต้องแม่นยำตรง  พอดี  สมบูรณ์แบบ  เป็นสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องสามารถทำได้ในขั้นนี้
4. ขั้นการแสดงออก (Articulation) ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนมีโอกาสได้ฝึกฝนมากขึ้น  จนกระทั่งสามารถกระทำสิ่งนั้นได้ถูกต้องสมบูรณ์แบบอย่างคล่องแคล่ว  รวดเร็ว  ราบรื่น  และด้วยความมั่นใจ
5. ขั้นการกระทำอย่างเป็นธรรมชาติ (Naturalization) ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถกระทำสิ่งนั้น ๆ อย่างสบาย เป็นไปอย่างอัตโนมัติ  โดยไม่รู้สึกว่าต้องใช้ความพยายามเป็นพิเศษ  ซึ่งต้องอาศัยการปฏิบัติบ่อย ๆ ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลาย
                    เดวีส์ (Davies. 1971: 50-56) ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะปฏิบัติไว้ว่า  ทักษะส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยทักษะย่อย ๆ จำนวนมาก  การฝึกให้ผู้เรียนสามารถทำทักษะย่อย ๆ เหล่านั้นได้ก่อนแล้วค่อยเชื่อมโยงต่อกันเป็นทักษะใหญ่  จะช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จได้ดีและรวดเร็วขึ้น  ซึ่งกระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบมีทั้งหมด 5 ขั้น คือ
1. ขั้นสาธิต ทักษะหรือการกระทำ  ขั้นนี้เป็นขั้นที่ให้ผู้เรียนได้เห็นทักษะหรือการกระทำที่ต้องการให้ผู้ เรียนทำได้ในภาพรวม  โดยการสาธิตให้ผู้เรียนดูทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ  ทักษะหรือการกระทำที่สาธิตให้ผู้เรียนดูนั้น  จะต้องเป็นการกระทำในลักษณะที่เป็นธรรมชาติ  ไม่ช้าหรือเร็วเกินปกติ  ก่อนการสาธิต  ครูควรให้คำแนะนำแก่ผู้เรียนในการสังเกต  ควรชี้แนะจุดสำคัญที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษในการสังเกต
2. ขั้นสาธิต และให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย  เมื่อผู้เรียนได้เห็นภาพรวมของการกระทำหรือทักษะทั้งหมดแล้ว  ผู้สอนควรจะแตกทักษะทั้งหมดให้เป็นทักษะย่อย ๆ หรือแบ่งสิ่งที่กระทำออกเป็นส่วนย่อย ๆ และสาธิตส่วนย่อยแต่ละส่วนให้ผู้เรียนสังเกตและทำตามไปทีละส่วนอย่างช้า ๆ
3. ขั้น ให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย  ผู้เรียนลงมือปฏิบัติทักษะย่อยโดยไม่มีการสาธิตหรือมีแบบอย่างให้ดู  หากติดขัดจุดใด  ผู้สอนควรให้คำชี้แนะ  และช่วยแก้ไขจนผู้เรียนทำได้  เมื่อได้แล้วผู้สอนจึงเริ่มสาธิตทักษะย่อยส่วนต่อไป  และให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อยนั้นจนทำได้  ทำเช่นนี้เรื่อยไปจนกระทั่งครบทุกส่วน
4. ขั้นให้เทคนิควิธีการ  เมื่อผู้เรียนปฏิบัติได้แล้ว  ผู้สอนอาจแนะนำเทคนิควิธีการที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำงานนั้นได้ดีขึ้น เช่น ทำได้ประณีตสวยงามขึ้นทำได้รวดเร็วขึ้น  ทำได้ง่ายขึ้น  หรือสิ้นเปลืองน้อยลง เป็นต้น
5. ขั้นให้ผู้เรียนเชื่อมโยงทักษะย่อย ๆ เป็นทักษะที่สมบูรณ์  เมื่อผู้เรียนสามารถปฏิบัติแต่ละส่วนได้แล้ว  จึงให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย ๆ ต่อเนื่องกันตั้งแต่ต้นจนจบ  และฝึกปฏิบัติหลาย ๆ ครั้งจนกระทั่งสามารถปฏิบัติทักษะที่สมบูรณ์ได้อย่างที่ชำนาญ


                       ฟิททส์ (Fitts. 1964) ได้ให้ข้อแนะนำการพัฒนาทักษะการกระทำที่ชำนาญจะเกิดขึ้นภายใต้ขั้นตอนการพัฒนาทักษะไว้ 3 ขั้นตอน คือ
1. ขั้น ความรู้ความเข้าใจ (The Cognitive Phase)  เป็นขั้นตอนที่จะบอกถึงทักษะและความรู้ทางทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งผู้สอนควรให้ข้อมูลแก่ผู้เรียนในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ต้องทำอะไรบ้าง  ต้องดูและหลีกเลี่ยงในเรื่องอะไรบ้าง  กระบวนการที่ต้องทำงาน  อะไรที่จำเป็นที่ต้องรู้  ต้องระมัดระวังอะไรบ้าง  และระดับมาตรฐานที่ต้องการ  ผู้เรียนควรจะให้ความสนใจเป็นพิเศษในด้านการวิเคราะห์ข้อผิดพลาดต่าง ๆ ขั้นความรู้ความเข้าใจนี้ควรจะกระทำในช่วงเวลาสั้น ๆ
2. ขั้นปฏิบัติ (The Associative Phase)  เป็นการกระทำการเพื่อให้ได้พฤติกรรมในรูปแบบที่ถูกต้อง  ทักษะจะเกิดขึ้นได้เมื่อได้ลงมือปฏิบัติการ  ข้อผิดพลาดหรือพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องควรได้รับการจำกัด  ขั้นปฏิบัติการนี้ผู้สอนควรจัดให้ผู้เรียนในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การสาธิตทักษะที่จะฝึก  เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลียนแบบทักษะ  ฝึกหัดทักษะนั้นด้วยสถานการณ์จริงและสถานการณ์จำลอง  ให้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับผลของทักษะ  และให้คำแนะนำและช่วยเหลือตามความจำเป็น   ขั้นตอนนี้ควรจะเริ่มต้นต่อจากขั้นความรู้ความเข้าใจ  และควรกระทำติดต่อไปเป็นระยะ
3. ขั้นชำนาญ (The Autonomous Phase) เป็นขั้นที่ปฏิบัติทักษะนั้นรวดเร็วและถูกต้อง  ตลอดจนโอกาสจะกระทำผิดก็จะไม่เกิดขึ้น  ทักษะที่เกิดขึ้นเป็นการเพิ่มพูนความชำนาญเป็นอัตโนมัติมากขึ้น  ในขั้นนี้เราเรียกว่าขั้นผู้เชี่ยวชาญ  ซึ่งต้องใช้การปฏิบัติมาก ๆ การฝึกทักษะในขั้นนี้ถือว่าได้บรรลุถึงขั้นสุดท้ายของระดับ Taxonomy ในทักษะพิสัย  ซึ่งในขั้นนี้ผู้สอนควรจัดให้ผู้เรียนได้กระทำในด้านต่าง ๆ ได้แก่  การฝึกทักษะจนถึงระดับเกินพอ  เรียนรู้วิธีการเอาชนะความเครียดและการสอดแทรกต่าง ๆ  เพิ่มพูนความเร็วและความถูกต้อง  และบรรลุถึงประสบการณ์ในระดับมาตรฐานที่ต้องการ  ในขั้นนี้ผู้เรียนแต่ละคนอาจจะแสดงผลสำเร็จที่แตกต่างกัน  ซึ่งความแตกต่างกันนี้มักจะขึ้นอยู่กับ  ความสามารถ  ความสนใจ  นิสัย  อารมณ์  และความขยันหมั่นเพียรของผู้เรียน 
ดี  เชคโค (De Cecco. 1974: 272-279) ได้เสนอขั้นตอนการสอนเพื่อให้เกิดทักษะไว้5 ขั้นตอน ดังนี้
1. วิเคราะห์ ทักษะที่จะสอน  เป็นขั้นแรกของการสอนทักษะ  โดยที่ผู้สอนจะต้องวิเคราะห์งานที่จะให้ผู้เรียนปฏิบัติก่อนว่า  งานนั้นประกอบด้วยทักษะย่อยอะไรบ้าง
2. ประเมินความสามารถเบื้องต้นของ ผู้เรียน  ว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถพื้นฐานเพียงพอที่จะเรียนทักษะใหม่หรือไม่  ถ้ายังขาดความรู้ความสามารถที่จำเป็นต่อการเรียนทักษะนั้นก็ต้องเรียนเสริม ให้มีพื้นฐานความรู้เพียงพอเสียก่อน
3. จัดขั้นตอนการฝึกให้เป็นไปตาม ลำดับขั้นจากง่ายไปยาก  จากทักษะพื้นฐานไปสู่ทักษะที่มีความสลับซับซ้อน  จัดให้มีการฝึกทักษะย่อยเสียก่อน  แล้วฝึกรวมทั้งหมด
4. สาธิตและอธิบาย แนะนำ  เป็นขั้นให้ผู้เรียนได้เห็นลำดับขั้นตอนการปฏิบัติจากตัวอย่างที่ผู้สอน สาธิตให้ดู  หรือจากภาพยนตร์  จากวีดิทัศน์  ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเห็นรายละเอียดการปฏิบัติในขั้นตอนต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน 
5. จัดให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง  โดยคำนึงถึงหลักการต่อไปนี้
5.1  ความต่อเนื่อง จัดให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติทักษะที่เรียนตามลำดับขั้นตอนอย่างต่อเนื่องกัน
5.2  การฝึกหัด  ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะ  เน้นทักษะย่อยที่สำคัญ  ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องในส่วนที่ผิด  ในการฝึกนี้ต้องจัดแบ่งเวลาฝึก  เวลาพักให้เหมาะสม
5.3  การให้แรงเสริม  โดยให้ผู้เรียนได้รู้ผลของการฝึกปฏิบัติ (Feedback)  ซึ่งมี 2 ทาง  คือ การรู้ผลจากภายนอก (Extrinsic Feedback) คือ จากคำบอกกล่าวของครูว่าดีหรือบกพร่องอย่างไร  ควรแก้ไขอย่างไร  พอผู้เรียนเกิดความก้าวหน้าไปถึงขั้นที่จะเพิ่มพูนความชำนาญ  เขาจะรู้ได้โดยการสังเกตด้วยตนเอง  เป็นการรู้ผลจากภายในตนเอง (Intrinsic Feedback)
                        วูดรัฟฟ์ (Woodruff. 1961) และ  จอยส์ และวีล (Joyce; & Weil. 1972) ได้กล่าวถึง องค์ประกอบที่ควรมีในกระบวนการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติ  ดังนี้
1. มีชิ้นงานต้นแบบ
2. อธิบายขั้นตอนการปฏิบัติอย่างละเอียดและชัดเจน
3. การสาธิต การปฏิบัติงานอย่างละเอียดและชัดเจน
4. การสาธิต การทำงานซ้ำอีกครั้งตั้งแต่ต้นจนจบ
5. การแสดงการปฏิบัติแต่ละขั้นตอนอย่างง่าย ๆ และทำให้ดูอย่างช้า ๆ
6. การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือทำเอง  ตั้งแต่ต้นจนจบในสายตาครูและครูเป็นพี่เลี้ยง
7. การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทำงานเองตามลำพัง  แล้วนำผลงานที่ทำได้มาตรวจสอบกับชิ้นงานต้นแบบ
                         สุชาติ  ศิริสุขไพบูลย์ (2526: 39-40) ได้กล่าวว่า  การสอนทักษะปฏิบัติก็ย่อมต้องมีขั้นตอนตามขั้นตอนการเรียนรู้เช่นกัน  ขั้นตอนในการสอนทักษะปฏิบัติควรปฏิบัติตามลำดับขั้นตอน 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นการกล่าวนำ (Introduction)  ในขั้นตอนนี้  เป็นขั้นตอนเริ่มต้นของขบวนการเรียนรู้  กระทำเพื่อ
        - ให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเรื่องที่จะเรียน
       - ทดสอบพื้นความรู้เดิมของผู้เรียน
       - สร้างความสนใจ  สร้างปัญหา  สร้างแรงจูงใจ
        - จัดตำแหน่งของผู้เรียนให้เหมาะสม  ก่อนการเริ่มต้นให้เนื้อหาวิชา
2. ขั้น การสาธิตจากครู (Demonstration from the Teacher)  หลังจากนำเข้าสู่บทเรียนแล้ว  ซึ่งหมายถึงว่าได้ข้อมูลจากผู้เรียนแล้ว  ได้ชี้แจงให้ผู้เรียนได้ทราบเป้าหมายที่จะเรียนจะฝึกกันแล้ว  ผู้เรียนได้มีปัญหาและมีความพร้อม  มีความสนใจที่จะแก้ปัญหานั้นกันแล้ว  ผู้สอนก็ควรจะเริ่มให้เนื้อหาด้วยการกล่าวถึงหลักทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง  อธิบายลักษณะงานวิธีการทำงาน  โดยมีรายละเอียดตามลำดับดังนี้
      - แสดงให้ผู้เรียนดูว่าทักษะที่จะเรียนกันนั้นปฏิบัติได้จริง
       - สาธิตพร้อม ๆ กับอธิบายงานว่า จะทำอะไร (What), ทำอย่างไร (How), และทำไมจึงต้องทำเช่นนั้น (Why) อาจจะทำการอธิบายประกอบคำถามก็ได้
       - สาธิตซ้ำอีกครั้ง  แต่สรุปเท่าที่จำเป็นที่สำคัญจริง ๆ
       - ทวนซ้ำอีกครั้ง (ถ้าจำเป็น)
3. ขั้นการสาธิตจากผู้เรียน (Demonstration from the Learner)  ควรจะให้โอกาสแก่ผู้เรียนได้สาธิตด้วยทั้งนี้โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ
       - ให้ผู้เรียนลองปฏิบัติให้ดูว่าทำได้หรือไม่  พร้อมกับให้การตรวจ-ปรับ
       - อาจให้ผู้เรียนปฏิบัติพร้อมกับการอธิบาย  โดยผู้สอนต้องคอยถามจุดสำคัญของเนื้อหาในแต่ละช่วงด้วยคำถาม ทำอะไร” “ทำอย่างไร” “ทำไมต้องทำอย่างนั้น
       - ให้ผู้เรียนหมุนเวียนกันสาธิต  พร้อมอธิบายสรุปเฉพาะจุดสำคัญ
       - ผู้สอนต้องมั่นใจว่าผู้เรียนทำได้โดยไม่ผิดพลาด  หากไม่แน่ใจให้ผู้เรียนทำซ้ำให้ดูใหม่จนแน่ใจ
4. ขั้น ให้แบบฝึกหัดและตรวจผลสำเร็จ (Exercise and Progress)   เมื่อแน่ใจว่า  ผู้เรียนทำได้แล้วโดยไม่ผิดพลาด  จึงจะมอบหมายให้ทำงานได้เพราะการฝึกทักษะปฏิบัติโดยการใช้เครื่องจักรมี อันตรายมาก  และอีกประการหนึ่งคือ ทักษะที่ฝึกจะลืมได้ยากดังนั้นหากฝึกในทางที่ผิด  ย่อมแก้ไขให้ดีได้ยาก  ในขั้นนี้ผู้สอนอาจทำตามลำดับขั้นตอน  ดังนี้
       - มอบงานฝึกให้ผู้เรียนไปปฏิบัติ
       - คอยตรวจสอบขณะปฏิบัติอยู่เสมอด้วยการถาม  สังเกตพฤติกรรมและตรวจดูชิ้นงานที่ฝึก
       - ชมเชย เสริมกำลังใจ  เมื่อผู้เรียนทำได้สำเร็จ  และให้การตรวจ-ปรับ  แก้ไขเมื่อผลงานไม่สำเร็จผล
                   บุญญศักดิ์  ใจจงกิจ (2519: 147-148) ได้กล่าวถึงวิธีการภาคปฏิบัติแบ่งได้เป็นขั้นตอนได้ 4 ขั้น  ตามวิธีการของ TWI – Method (TWI = Training Within Industry) คือ
1. ขั้น เตรียมการสอน  ผู้สอนจะต้องเตรียมตัวเพื่อสอน  เตรียมแบบ  เตรียมอธิบาย  ลักษณะงานที่จะให้นักเรียนทำ  เตรียมวิธีการที่จะเร่งเร้าความสนใจให้นักเรียนอยากทำ  และให้เข้าใจงานนั้นให้ดีเสียก่อน  ขั้นตอนนี้เป็นหน้าที่ของผู้สอน  นักเรียนเป็นผู้ฟัง
2. ขั้นครูทำให้ดู  ขั้นตอนที่ครูผู้สอนจะต้องสาธิตวิธีทำงานที่ถูกต้อง  หรือทักษะใหม่ให้นักเรียนดู  พร้อมกับอธิบายด้วยคำพูดที่ชัดเจน  ขั้นตอนนี้  นักเรียนเป็นผู้สังเกต
3. ขั้นนักเรียนทดลองทำดู  ขั้นตอนนี้นักเรียนเริ่มทดลองทำตามวิธีที่ครูได้สาธิตไว้  ครูจะต้องตามคอยสังเกต  ช่วยเหลือแก้ไขและแนะนำวิธีที่ถูกให้
4. ขั้น ปฏิบัติ  เมื่อได้แน่ใจว่านักเรียนเข้าใจและทำได้ถูกต้องวิธีแล้ว  ครูจะอนุญาตให้นักเรียนลงมือปฏิบัติได้  ครูจะเป็นผู้กำหนดชิ้นงานและควบคุมคุณภาพหรือตรวจให้คะแนนชิ้นงานนั้น ๆ
                             ปรียาพร  วงศ์อนุตรโรจน์ (2548: 101-103) ได้กล่าวถึง  การสอนทักษะปฏิบัติมีขั้นตอนดังนี้
1. วิเคราะห์ทักษะนั้น  ต้องพิจารณาแยกแยะรายละเอียดของทักษะนั้นออกมา
2. ตรวจ สอบความสามารถเบื้องต้นที่เกี่ยวกับทักษะของผู้เรียน  ว่ามีอะไร  เพียงใด  ให้ทดสอบการปฏิบัติเบื้องต้นต่าง ๆ ตามลำดับก่อนหลัง
3. จัดการฝึกหน่วย ย่อยต่าง ๆ และฝึกหนักในหน่วยที่ขาดไป  และอาจจะฝึกสิ่งที่เขาพอเป็นอยู่แล้วให้ชำนาญเต็มที่  และให้ความสนใจในสิ่งที่ยังไม่ชำนาญ
4. ขั้นอธิบายและสาธิตทักษะให้ผู้ เรียน  เป็นการแสดงทักษะทั้งหมด  ทั้งการอธิบาย  และการแสดงให้เห็นตัวอย่าง  โดยให้ผู้เรียนดูภาพยนตร์หรือผู้เชี่ยวชาญแสดงให้ดู  ในขั้นต้นไม่จำเป็นต้องอธิบายมาก  ให้ผู้เรียนดูตัวอย่างและสังเกตเอง  เพราะถ้าอธิบายมากจะเป็นสิ่งรบกวนการสังเกตของผู้เรียน  การใช้ภาพยนตร์สอนทักษะต่าง ๆ นั้นมีคุณค่าอย่างยิ่ง  ในขั้นแรกของการเรียน  และขั้นสุดท้ายของการเรียน  เพราะเมื่อผู้เรียนมีทักษะในขั้นสูงแล้ว  ก็อาจจะหันมาพิจารณารายละเอียดจากภาพยนตร์อีกครั้งหนึ่ง  การใช้ภาพยนตร์นั้น  เมื่อดูแล้วควรอภิปรายโดยให้ผู้เรียนอธิบายเป็นคำพูดของเขาเอง  และควรจะฉายให้ดูอีกครั้งก่อนที่จะลงมือปฏิบัติ
5. ขั้นจัดภาวะเพื่อการเรียน 3 ประการ คือ
5.1 จัดลำดับขั้นสิ่งเร้าและการตอบสนอง  ให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องตามลำดับก่อนหลัง  สิ่งใดที่เกี่ยวกันต้องจัดให้ติดต่อกัน
5.2 การ ปฏิบัติ  ต้องจัดกำหนดเวลาของการปฏิบัติให้ดี  จะใช้เวลาแต่ละครั้งนานเท่าใด  หรือแต่ละครั้งจะมีการหยุดพักมากน้อยเพียงใด  การฝึกแต่ละอย่างอาจใช้ครั้งเดียวหรือหลายครั้ง  จะต้องคิดพิจารณาให้ดี  จะใช้การปฏิบัติแบบแบ่งปฏิบัติหรือฝึกแบบรวดเร็วเดียวกัน  ขึ้นอยู่กับขั้นต่าง ๆ ของการเรียนทักษะ  ในขั้นสุดท้ายของการเรียนทักษะอาจจะใช้การฝึกฝนนานได้
5.3 ให้รู้ผลของ การปฏิบัติ  การรู้ผลนั้นมี 2 อย่าง คือ รู้จากคำบอกเล่าของครูผู้สอนและรู้ผลโดยตัวเอง  ในขั้นแรก ๆ บอกเล่าว่าเขามีข้อบกพร่องอย่างไร  แบบนี้เป็นการรู้ผลจากภายนอกเป็นการบอกให้รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร  พอผู้เรียนก้าวหน้าไปถึงขั้นที่สองและขั้นที่สาม  คือมีความชำนาญมากขึ้น  เขาจะสังเกตตัวเอง  เป็นการรู้ผลจากตัวเองโดยดูจากผลของการเคลื่อนไหว
                            ชม ภูมิภาค (2516: 236-237) ได้กล่าวถึง  การสอนทักษะใด ๆ ก็ตามย่อมจะมีขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ คือ
1. วิเคราะห์ทักษะนั้น  ต้องพิจารณาแยกแยะรายละเอียดของทักษะนั้นออกมา  จัดลำดับการกระทำก่อน หลัง ไว้ให้ดี
2. ตรวจ สอบความสามารถเบื้องต้นที่เกี่ยวกับทักษะของผู้เรียนว่ามีอะไร  เพียงใดให้ทดสอบการปฏิบัติเบื้องต้นต่าง ๆ ตามลำดับก่อน หลัง ต้องฝึกหน่วยที่ขาดเสียก่อน
3. จัดการฝึกหน่วยต่าง ๆ โดยเฉพาะในหน่วยที่ขาดไป  หรืออาจจะฝึกสิ่งที่เขาพอเป็นอยู่แล้ว ให้ชำนาญเต็มที่
4. ขั้น อธิบายและสาธิตทักษะให้ผู้เรียน  ในขั้นนี้เป็นการแสดงทักษะทั้งหมด  เป็นการอธิบาย  เป็นการแสดงให้เห็นตัวอย่าง  ให้ผู้เรียนดูวิดีโอ  ดูภาพยนตร์  หรือให้ผู้เชี่ยวชาญแสดงให้ดู
5. จัดภาวะเพื่อการเรียนทักษะ 3 ประการให้  ในเรื่องนี้ก็คือ การจัดลำดับสิ่งเร้าและการตอบสนองให้นักเรียนได้ปฏิบัติถูกต้อง ตามลำดับก่อน หลัง  สิ่งใดที่เกี่ยวเนื่องกันต้องจัดให้ติดต่อกัน  การปฏิบัตินั้นต้องจัดกำหนดเวลาของการปฏิบัติให้ดี  จะใช้เวลาแต่ละครั้งนานเพียงใด  หรือแต่ละครั้งจะมีการหยุดพักมากน้อยเพียงใด  การฝึกแต่ละอย่างจะใช้ครั้งเดียวหรือกี่ครั้งจะใช้การปฏิบัติแบบแบ่ง ปฏิบัติ  หรือฝึกแบบรวดเดียวนั้นขึ้นอยู่กับขั้นต่าง ๆ ของการเรียนทักษะ  ในขั้นสุดท้ายของการเรียนทักษะอาจจะใช้เวลาฝึกฝนนาน ๆ ได้ และสิ่งที่สำคัญคือ การรู้ผลการปฏิบัติ  การรู้ผลนั้นก็มี 2 อย่างคือ รู้ผลจากภายนอก คือจากคำบอกกล่าวของผู้สอนหรือครู  และการรู้ผลภายในตัวเอง  เขาจะสังเกตตนเอง เป็นความรู้สึกภายใน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น